Raman Raghav 2.0 (2016) สามารถดูได้ใน Netflix
• ก่อนดูคิดว่ามันจะเป็น I Saw The Devil หนังฆาตกรต่อเนื่องไล่ฆ่าคนโหด ๆ ในแบบฉบับอินเดีย แต่ผิดคาด มันกลายเป็นหนังที่สำรวจฆาตกรต่อเนื่องในแนวทางของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
• เกือบจะเฉย ๆ ค่อนไปทางไม่ค่อยชอบความไม่มีอะไรของหนังละ จนกระทั่งองก์สุดท้ายถึงเริ่มกลับมาโอเคกับหนังมาก
• ระหว่างดูรู้สึกถึงกลิ่นความเป็นหนัง homosexual หน่อย ๆ ซึ่งหนังมาช่วยคอนเฟิร์มในช่วงท้าย
• คนสร้างหนังอินเดียประสบปัญหาเดียวกับไทย คือคุณไม่สามารถสร้างตัวละครตำรวจซื่อสัตย์ได้ในยุคสมัยนี้ เพราะตำรวจในความเป็นจริงคือทุจริตยับเยิน ตำรวจในหนังเรื่องนี้จึงเป็นทั้งคนติดยาและภาพสะท้อนของฆาตกรต่อเนื่อง
• ฉากที่สะท้อนมุมมองของชุมชนแออัดต่อตำรวจอินเดีย จึงเป็นฉากที่คนร้ายโดนตำรวจไล่ล่า แต่เด็กในชุมชนเลือกจะปกป้องคนที่โดนตามล่า เพราะไม่ไว้ใจตำรวจนั่นเอง
• รามัญ รากัฟ มีตัวตนจริง ๆ เป็นฆาตกรต่อเนื่องในช่วงยุค 60's ที่มีอาการทางจิต เขาใช้เวลายามวิกาลบุกรุกบ้านคนในชุมชนแออัดเมืองมุมไบ ก่อนจะฆาตกรรมไป 9 ศพ (สารภาพว่าฆ่าไปทั้งหมด 41 ศพ) แต่หนังไม่ได้เล่าตามจริง เพราะเซ็ตเรื่องขึ้นมาใหม่โดยอ้างอิงรามัญ รากัฟ ขึ้นมาเฉย ๆ
-------------------------------------
เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในช่วง 2 ปี โดยที่ตำรวจจับคนร้ายไม่ได้สักที จนกระทั่งวันหนึ่ง 'รามัญ' ชายไร้บ้านเดินเข้ามามอบตัวกับตำรวจ อ้างว่าตัวเองเป็นคนลงมือฆาตกรรมเหยื่อทั้งหมด แต่ในการสอบสวน 'ราฆวาน' ตำรวจหนุ่มที่มีปัญหาเรื่องติดยาเชื่อว่ารามัญคงแค่อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์แล้วอยากติดคุกเพื่อจะได้ที่พักฟรีกินฟรี ตำรวจจึงลงมือเฆี่ยนตีให้สารภาพใหม่แต่รามันก็ยังยืนยันเหมือนเดิม พวกเขาจึงขังเอาไว้ก่อนในตึกร้าง แต่ก็มีคนผ่านมาช่วยเหลือ แล้วไม่นานหลังจากนั้นรามันก็ลงมือฆ่ายกครัวบ้านน้องสาวตัวเอง คราวนี้ตำรวจจึงมั่นใจแล้วว่ารามัญน่าจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องอย่างที่อ้างจริง ๆ
.
กราฟระหว่างทางหนังค่อนข้างเป๋ ๆ อยู่พอสมควร ด้วยความที่หนังเลือกจะเก็บเฉลยทั้งหมดเอาไว้ในตอนสุดท้าย หนังสร้างตัวละคร รามัญ ขึ้นมาโดยอ้างอิงแรงจูงใจในการฆ่าว่าเป็นแค่ความพึงพอใจในชีวิต เขาไม่วางแผนล่วงหน้า ไม่มีเป้าหมายเจาะจง และไม่รู้สึกผิดกับการฆาตกรรมด้วยซ้ำ สิ่งที่รามัญกระทำทุกอย่างคือเขาแยกรากัฟออกมาเป็นส่วนเติมเต็มตัวเอง ซึ่งแม้หนังจะไม่ระบุชี้ชัดในตอนแรกว่ารากัฟคือใคร แต่เราก็ได้เห็นฉากที่เขาทำตัวเป็นถ้ำมองแอบส่องพฤติกรรมราฆวาน และพอจะดูออกทันทีว่ามูลเหตุขับเคลื่อนรามัญจะต้องมาจากราฆวานแน่นอน เพียงแค่ไม่รู้ปมแน่ชัดจนกว่าหนังจะเฉลยในตอนสุดท้ายที่ทั้งสองได้มานั่งจับเข่าคุยกัน
.
ถึงแม้หนังจะโฟกัสรามัญเป็นแกนกลางของเรื่อง แต่ก็ยังมอบเวลาให้ราฆวานในฐานะภาพสะท้อนของฆาตกรต่อเนื่อง เขาคือคนที่สามารถฆาตกรรมแล้วหลบซ่อนตัวภายใต้เครื่องแบบตำรวจ มีปัญหาติดยาอย่างหนักถึงขั้นรับยาจากพ่อค้ายาโดยตรงเป็นสินบนแลกเปลี่ยน ต่อให้เราเห็นรามัญกระทำชั่วโหดร้ายขนาดไหน ก็ยังไม่เทียบเท่ากับราฆวานที่สามารถกระทำผิดโดยมีตรายศตำรวจคุ้มครอง
.
*** สปอยล์ ***
ประเด็นของหนังจึงจบลงแค่เพียงว่ารามัญเริ่มฆาตกรรมครั้งแรกเพราะต้องการล้างแค้นคนที่คอยทำร้ายตัวเองในวัยเด็ก แต่บังเอิญรอดคดีเพราะราฆวานมาซื้อยาที่เกิดเหตุ แล้วเลือกจะทำลายรอยนิ้วมือหลักฐานเพราะตัวเองก็ฆาตกรรมปิดปากพยานเช่นเดียวกัน กลายเป็นว่ารามัญเกิดรักแรกพบราฆวานและคอยแอบส่องมาตลอด ถึงขั้นยินยอมรับสารภาพในความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ในคดีที่ราฆวานฆ่าแฟนสาวโดยไม่ตั้งใจ แต่เลือกจะสร้างสถานการณ์ป้ายความผิดให้รามัญเป็นแพะรับบาป ปัญหาสุดท้ายคือฉากฆาตกรรมดันมีพยานรู้เห็นความจริง ซึ่งรามัญไม่สามารถออกจากคุกไปฆ่าปิดปากได้ จึงเป็นราฆวานต้องรับบทรากัฟออกไปปิดปากให้จบสิ้น
.
ถ้าถามว่าเราซื้อไอเดียหนังฆาตกรต่อเนื่องขนาดนั้นไหม ก็ไม่นะ แค่รู้สึกว่ามันแปลกใหม่ดีที่ตีความเรื่องราวออกมาเป็น love story เป็นโทน homosexual โดยไม่รู้สึกว่าหนังพยายามจนเกินไป (ถึงจะมีฉากพูดประมาณว่า "หาสิ่งนั้นไม่ได้จากผู้หญิง") มันดูค่อย ๆ เล่าเป็นแนวฆาตกรต่อเนื่องทั่วไป แล้วถึงมาหาทางลงให้จบเป็นเรื่องรัก โดยฉายภาพอีกมุมมองของเรื่องทั้งหมดที่เล่ามา เป็นการจบหนังที่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง และให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี เลยชอบมุมนี้มากกว่า
Director: Anurag Kashyap
screenplay: Vasan Bala, Anurag Kashyap
Genre: crime, drama, thriller
7.5/10